การอินเตอร์เฟซ
การอินเตอร์เฟซ คือ การลิงค์เชื่อมโยงระหว่าง 2 อุปกรณ์เข้าด้วยกัน โดยอุปกรณ์ที่นำมาลิงค์เพื่อเชื่อมโยงสื่อสารนั้น ไม่จำเป็นต้องมาจากผู้ผลิตรายเดียวกันเสมอไป อาจเป็นอุปกรณ์ต่างยี่ห้อ ต่างผู้ผลิต แต่สามารถนำมาใช้งานร่วมกันได้ ดังนั้นจึงต้องมีการกำหนดมาตรฐานเพื่อเป็นข้อกำหนดเฉพาะของอินเตอร์เฟซนั้นๆซึ่งประกอบด้วยข้อกำหนดต่างๆ ดังนี้
1. ข้อกำหนดทางกลไก ที่กล่าวถึงรูปทรงและขนาดของคอนเน็กเตอร์
2. ข้อกำหนดทางไฟฟ้า ที่กล่าวถึงความถี่ แอมพลิจูด และเฟสของสัญญาณที่คาดหมายไว้
3. ข้อกำหนดด้านฟังก์ชันการทำงาน ที่กล่าวถึงสายสัญญาณแต่ละเส้นมีหน้าที่อะไร
4. ข้อกำหนดด้านขั้นตอนการทำงาน ที่กล่าวถึงการควบคุมจังหวะและขั้นตอนการแลกเปลี่ยนข้อมูล
DTE – DCE อินเตอร์เฟส
อุปกรณ์ DTE จะทำหน้าที่แปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของสัญญาณเพื่อใช้สำหรับสื่อสาร เมื่อสัญญาณได้ส่งไปยังอุปกรณ์ DTE ปลายทางที่เป็นฝ่ายรับ ก็จะดำเนินการแปลงสัญญาณที่รับมานั้นให้อยู่ในรูปแบบของข้อมูลเหมือนกับที่ได้ส่งมา
ข้อเสียของการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ DTE ด้วยกัน คือ มีข้อจำกัดด้านการส่งผ่านข้อมูลบนระยะทางไกลๆ ดังนั้นหากมีความจำเป็นต้องส่งผ่านข้อมูลระยะไกล จำเป็นต้องพึ่งพาอุปกรณ์ที่เรียกว่า DCE เข้ามาช่วย
DCE (Data Circuit-terminating Equipment) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ DTE ในกรณีที่ต้องการสื่อสารระยะไกล โดยปกติหมายถึง โมเด็ม
DTE – DCE อินเตอร์เฟส
DTE – DCE อินเตอร์เฟส
อุปกรณ์ DCE ทั้งสองฝั่งจะมีการแลกเปลี่ยนสัญญาณบนสายที่ใช้เป็นสื่อกลางส่งข้อมูลหรือเครือข่าย โดยฝั่งรับจะต้องใช้รหัสสัญญาณเดียวกันรวมถึงอัตราความเร็วของการส่งกระแสไฟฟ้า
อุปกรณ์ DTE-DCE แต่ละคู่ จะต้องได้รับการออกแบบให้สามารถโต้ตอบเพื่อท างานร่วมกันได้ แม้ว่าจะเป็นอุปกรณ์ที่มาจากคนละแหล่งผลิตดังนั้นจึงมีการกำหนดมาตรฐานอินเตอร์เฟสขึ้น เพื่อให้การเชื่อมต่อสามารถนำมาใช้งานร่วมกันได้อย่างราบรื่นและสะดวก
ข้อกำหนดสำคัญของมาตรฐานอินเตอร์เฟส
คุณลักษณะของมาตรฐานอินเตอร์เฟสประกอบด้วยข้อกำหนดส าคัญ 4ประการ คือ1. ข้อก าหนดทางกลไก (Mechanical Specification)เป็นข้อก าหนดทางกายภาพที่ใช้กำหนดรายละเอียดของปลั๊กหรือคอนเน็กเตอร์ที่ใช้สำหรับเชื่อมต่อ ว่ามีรูปทรงและขนาดของคอนเน็กเตอร์เป็นแบบใด มีหัวเข็มจำนวนกี่หัว เพื่อให้ผู้ผลิตสามารถผลิตตามมาตรฐานและนำไปเชื่อมต่อ
สื่อสารกันได้ โดยคอนเน็กเตอร์หรือปลั๊กจะมีทั้งแบบตัวผู้และตัวเมีย และข้อกำหนดทางกลไกนี้จะแสดงถึงการเชื่อมต่อทางกายภายที่แท้จริงระหว่างอุปกรณ์ DTE และ DCEข้อกำหนดสำคัญของมาตรฐานอินเตอร์เฟส
2. ข้อกำหนดทางไฟฟ้า (Electrical Specification)เป็นข้อก าหนดเกี่ยวกับระดับสัญญาณเพื่อใช้แทนข้อมูลไบนารี 1 หรือ 0ระดับสัญญาณตั้งแต่ระดับใดถึงระดับใดจะใช้แทนข้อมูล 1 หรือ 0 โดยทั้งอุปกรณ์ DTE และ DCE จะต้องใช้รูปแบบการเข้ารหัสชนิดเดียวกัน เช่น การเข้ารหัสแบบ NRZ-L ทั้งนี้ข้อก าหนดทางไฟฟ้ายังเกี่ยวข้องกับอัตราข้อมูล(Data Rate) ซึ่งแทนอัตราความเร็วในการรับส่งสัญญาณและระยะทางเป็นสำคัญข้อกำหนดสำคัญของมาตรฐานอินเตอร์เฟส
3. ข้อกำหนดด้านฟังก์ชันการทำงาน (Functional Specification)เป็นข้อกำหนดเกี่ยวข้องกับสายสัญญาณที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ DTE และ DCE โดยแต่ละหัวเข็มจะส่งสัญญาณอะไรบ้าง ซึ่งจะปฏิบัติสิ่งที่ได้รับมอบหมายไว้ในวงจรการแลกเปลี่ยนข้อมูลของแต่ละวงจร ที่มีการจัดแบ่งหมวดหมู่ในส่วนของข้อมูล (Signal Circuit) การควบคุม (Control Circuit) เวลา(Timing Circuit) และอิเล็กทริคัลกราวด์ (Electrical Ground)
4. ข้อกำหนดด้านขั้นตอนการท างาน (Procedural Specification)เป็นข้อก าหนดที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนและกระบวนการที่ใช้ส าหรับติดต่อสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ DTE และ DCE ว่ามีขั้นตอนการติดต่อสื่อสารกันอย่างไร มีการควบคุมจังหวะและการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างไร
อินเตอร์เฟส EIA-232 หรือ RS-232EIA-232
EIA-232 ได้ผ่านการปรับปรุงและพัฒนามาหลายครั้ง จนกระทั่งปี ค.ศ. 1969ได้มีการประดิษฐ์เวอร์ชัน 3 ขึ้นมา คือ EIA-232C และได้น าไปประกาศใช้เป็นมาตรฐานบนเครื่องพีซีคอมพิวเตอร์ตั้งแต่นั้นมา
ต่อมาปี ค.ศ. 1987 ได้มีเวอร์ชัน EIA-232D ซึ่งได้ปรับปรุงโดยเพิ่ม test linesจำนวน 3 เส้นเข้าไป และปัจจุบันพัฒนามาจนถึงเวอร์ชัน 6 คือ EIA-232F
อินเตอร์เฟส EIA-232F ได้น ามาตรฐานย่อยๆ ต่างมารวมเข้าด้วยกัน ซึ่ง
ข้อก าหนดต่างๆ ได้น ามาจากมาตรฐานต่างๆ ดังนี้
1. ข้อกำหนดทางไฟฟ้า ได้น ามาตรฐาน ITU v.28 มาใช้
2. ข้อกำหนดทางกลไก ได้น ามาตรฐาน ISO 2110 มาใช้
3. ข้อกำหนดด้านฟังก์ชันการท างานและขั้นตอนการท างาน ได้น ามาตรฐาน ITUv.24 มาใช้
คุณลักษณะของอินเตอร์เฟส EIA-232/RS-232
1. ข้อกำหนดทางกลไกเป็นส่วนทางกายภาพของปลั๊ก EIA-232 ที่ใช้เชื่อมต่อ เป็นคอนเน็กเตอร์แบบ 25 เข็ม (DB-25) ในปัจจุบันส่วนใหญ่เปลี่ยนมาเป็นแบบ 9หัวเข็มแล้วอินเตอร์เฟส EIA-232 หรือ RS-232
คุณลักษณะของอินเตอร์เฟส EIA-232/RS-232
ในการเชื่อมต่อจะใช้ความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลน้อยกว่า 20 Kbpsส าหรับความยาวของสายสัญญาณจะถูกจ ากัดระยะทางโดยต้องน้อยกว่า 15 เมตรหรือ 50 ฟุต อย่างไรก็ตามการเพิ่มความเร็วและระยะทางสามารถท าได้ หากได้รับ
การออกแบบที่ดี
คุณลักษณะของอินเตอร์เฟส EIA-232/RS-232
3. ข้อกำหนดด้านฟังก์ชันการทำงานเป็นข้อกำหนดที่สำคัญที่สุด โดยเป็นการก าหนดหน้าที่การท างานเฉพาะให้กับหัวเข็มแต่ละหัว
คุณลักษณะของอินเตอร์เฟส EIA-232/RS-232
คุณลักษณะของอินเตอร์เฟส EIA-232/RS-232
4. ข้อกำหนดด้านขั้นตอนการทำงานเป็นรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการติดต่อสื่อสาร และขั้นตอนการทำงาน รวมถึงการควบคุมจังหวะและขั้นตอนการแลกเปลี่ยนข้อมูล
คุณลักษณะของอินเตอร์เฟส EIA-232/RS-232
ชื่อของสัญญาณ EIA จะมีการแบ่งกลุ่มของสัญญาณออกเป็น 5 กลุ่มด้วยกัน เพื่อแสดงถึงความแตกต่างในแต่ละวงจร โดยที่A – Ground (Common Circuit)
B – Data (Signal Circuit)
C – Control (Control Circuit)
D – Timing (Timing Circuit)
S – Secondary Channel
สายกราวด์
เซอร์กิต AB (pin 7) เป็น Signal Ground ระหว่างอุปกรณ์ DTEและ DCE ซึ่งอาจเรียกว่าเป็น Protective Ground ที่ช่วยป้องกันการช็อกทางไฟฟ้า (Electric Shock)
คุณลักษณะของอินเตอร์เฟส EIA-232/RS-232
เซอร์กิต BA (pin 2) / Transmitted Data เป็นสัญญาณที่ใช้ส าหรับการส่งข้อมูลจากอุปกรณ์ DTE ไปยังอุปกรณ์ DCE โดยสถานะทางลอจิกจะมีค่าเท่ากับ 1 เมื่อไม่มีการส่งข้อมูลใดๆ
เซอร์กิต BB (pin 3) / Received Data เป็นสัญญาณที่ใช้ส าหรับรับข้อมูล
จากอุปกรณ์ DCE ไปยังอุปกรณ์ DTE โดยสถานะทางลอจิกจะมีค่าเท่ากับ 1 เมื่อไม่มีการ
ส่งข้อมูลใดๆการโต้ตอบกัน (Handshaking)
เซอร์กิต CA (pin 4) / Request to Send เป็นสัญญาณจากอุปกรณ์DCE เพื่อให้รับรู้ว่าเตรียมพร้อมแล้วที่จะส่งข้อมูล ซึ่งสัญญาณนี้จะใช้งานควบคู่กับเซอร์กิตCB
เซอร์กิต CB (pin 5) / Clear to Send เป็นสัญญาณตอบรับจากอุปกรณ์DCE ที่ส่งให้กับอุปกรณ์ DTE ว่าพร้อมรับข้อมูลจากอุปกรณ์ DTE แล้ว
คุณลักษณะของอินเตอร์เฟส EIA-232/RS-232
การควบคุม (ใช้สำหรับควบคุมโมเด็ม)
เซอร์กิต CC (pin 6) / DCE Ready เป็นสัญญาณจากอุปกรณ์DCE ที่บอกกับฝ่ายส่งว่า อุปกรณ์ DCE อยู่ในสภาวะพร้อมที่จะส่งข้อมูลไปยังปลายทางที่ได้ท าการเชื่อมต่อ กล่าวคือ โมเด็มจะมีการสร้างการเชื่อมต่อกับโมเด็มระยะไกลของอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อส่งผ่านข้อมูลระหว่างกัน
เซอร์กิต CF (pin 8) / Carrier Detect เป็นสัญญาณจากอุปกรณ์ DCE ว่าได้รับการตอบรับสัญญาณจากอุปกรณ์ทางไกลของอีกฝั่งหนึ่งแล้ว
เซอร์กิต CD (pin 20) / Data Terminal Ready (DTE Ready) เป็นสัญญาณจากอุปกรณ์ DTE ว่าพร้อมแล้วที่จะทำงาน
นัลโมเด็ม (Null Modem)
นัลโมเด็ม (Null Modem)การเชื่อมต่อแบบนัลโมเด็ม เป็นการเชื่อมต่อในลักษณะ DTE-to-DTE โดยปราศจากอุปกรณ์ DCE เช่น การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์สองเครื่องในระยะทางใกล้ๆ (ต้องมีระยะทางไม่เกิน 50 ฟุต) ด้วยอินเตอร์เฟส EIA-232 เป็นการเชื่อมต่อโดยตรงระหว่างอุปกรณ์ รวมถึงสื่อสารกันด้วยสัญญาณ
ดิจิตอล ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้โมเด็มในการมอดูเลตสัญญาณเพื่อส่งไปตามสายโทรศัพท์
นัลโมเด็ม (Null Modem)
จากรูปเป็นการเชื่อมต่อระยะไกลด้วยการใช้โครงข่ายโทรศัพท์ อุปกรณ์ DTE ทั้งสองฝั่ง
จะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันผ่านอุปกรณ์ DCE โดยแต่ละ DTE จะส่งข้อมูลของตนผ่าน pin 2
(Transmitted Data : TD) และ DCE ก็จะรับข้อมูลจาก pin 2 ซึ่งแต่ละ DTE ที่เป็นฝ่ายรับจะรับข้อมูลผ่าน pin 3 (Received Data : RD) ของ DCE เพื่อส่งผ่านไปยังpin 3 ของ DTE
การสื่อสารจะเริ่มจากการใช้ pin 2 ในการส่งข้อมูลออกไปจาก DTE และ pin 3 ก็จะ
เป็นฝ่ายรับ โดยมีอุปกรณ์ DCE ท าหน้าที่เป็นตัวกลางรับการเชื่อมต่อโดยตรงของสัญญาณและ
ผ่านไปตามเซอร์กิตต่างๆ ที่ได้ก าหนดไว้
นัลโมเด็ม (Null Modem)
ระยะสั้นที่ไม่มีอุปกรณ์ DCE ในการเปลี่ยนสัญญาณเพื่อไปยัง pin ที่ตั้งไว้ โดย DTE ทั้งสองจะพยายามส่งผ่านข้อมูลบน pin 2 และรับข้อมูลบน pin 3 ด้วยการใช้สายไขว้เ(crossing connections) ดังนั้นการเชื่อมต่อในลักษณะนี้ ฝ่ายรับจะต้องเตรียมรอรับข้อมูลก่อนที่ฝ่ายส่งจะส่งข้อมูลมา เพราะหากฝ่ายส่งท าการส่งข้อมูลโดยไม่ได้มีการตรวจสอบความพร้อมของฝ่ายรับ ข้อมูลที่ส่งไปก็อาจสูญหายได้
นัลโมเด็ม (Null Modem)
โดยทั่วไปเครื่องพีซีจะอ้างถึงสัญญาณ RTS (Request to Send) ถ้าพร้อมที่จะรับข้อมูล และอุปกรณ์ DCE อย่างโมเด็ม ก็จะอ้างถึงสัญญาณ CTS (Clear to Send) เมื่อได้รับข้อมูล ดังนั้นการเชื่อมต่อสาย RTS จาก DTE หนึ่งไปยัง CTS ของอีก DTE หนึ่ง จึงเป็นการจ าลองให้เกิดการตรวจสอบสัญญาณโต้ตอบ(Handshake) กันได้ โดยหากฝ่ายรับไม่พร้อม ก็จะไม่มีสัญญาณ RTS ส่งออกมา
สำหรับซอฟต์แวร์ที่ใช้ส าหรับการสื่อสาร เมื่อมีการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์สองเครื่อง
ด้วยสายนัลโมเด็ม ได้แก่ โปรแกรม laplink, Norton Commander และ FileVan
ข้อสังเกตประการหนึ่ง คือ สายเคเบิลที่ใช้เชื่อมต่อตามมาตรฐาน EIA-232 ใน
รูปแบบ DTE-DTE หรือนัลโมเด็มนั้น คอนเน็กเตอร์ของปลายสายทั้งสองด้าน จะเป็น
คอนเน็กเตอร์แบบตัวผู้ที่ใช้เสียบเข้ากับพอร์ตขนานบนเครื่องพีซี
อินเตอร์เฟสความเร็วสูง
(High speed Interface Protocol)
คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันได้มีการออกแบบให้สามารถรองรับอินเตอร์เฟสใหม่ๆ ที่มีความยืดหยุ่นสูง รับส่งข้อมูลที่รวดเร็ว และสนับสนุนอุปกรณ์ต่างๆ มากมาย ไม่เฉพาะแต่
โมเด็ม เช่น เครื่องสแกนเนอร์ กล้องวีดีโอดิจิตอล กล้องดิจิตอล โดยเชื่อมต่อผ่านพอร์ด
FireWire และ USB
FireWire เป็นชื่อจดทะเบียนการค้าของบริษัทแอปเปิลที่พัฒนาขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1990 หรืออาจเรียกว่า i-Link โดยFireWire เป็นอินเตอร์เฟสที่เป็นไปตามมาตรฐาน IEEE 1394(High Performance Serial Bus) และเป็นสายส่งข้อมูลดิจิตอลความเร็วสูงที่มีคอนเน็กเตอร์ทั้งแบบ 4 pin และ 6 pin
FireWire
FireWire เป็นชื่อของบัสที่ใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกที่ส่งผ่านข้อมูลด้วยความเร็วสูง ส่วนใหญ่นิยมนำมาใช้งานกับกลุ่มอุปกรณ์ที่ต้องการอัตราการส่งผ่านข้อมูลความเร็วสูง เช่น กล้องดิจิตอลกล้องวีดีโอ รวมถึงอุปกรณ์ที่นำมาใช้เพื่อการส ารองข้อมูลขนาดใหญ่ โดย FireWire จะสนับสนุนทั้งการเชื่อมต่อแบอะซิงโครนัสและไอโซโครนัส และรับประกันความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลในอัตราคงที่ ที่มีความเสถียรตั้งแต่เริ่มต้นถ่ายโอนข้อมูลจนกระทั่งจบกระบวนการ
FireWire
จากรูปคือสายภายในแบบ 6 pin ซึ่งประกอบด้วยสายสัญญาณ6 เส้น โดยที่
- สายสัญญาณ Power จ านวน 2 เส้นนำไปใช้งานสำหรับส่งกำลังไฟฟ้าขนาด 8-40 โวลต์ ไปยังอุปกรณ์
- สายสัญญาณคู่ที่ 1 จะส่งข้อมูลสัญญาณบวก (Positive)
เข้ารหัสแบบ NRZ-L
- สายสัญญาณคู่ที่ 2 จะส่งข้อมูลสัญญาณลบ (Negative) ที่เข้ารหัสแบบ NRZ-L
สายสัญญาณคู่แรกจะถูกน าไปใช้เพื่อการส่งข้อมูล ส่วนสายสัญญาณคู่ที่สองจะนำไปใช้สำหรับส่งสัญญาณนาฬิกาอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดโอกาสในการเกิดข้อผิดพลาด ซึ่งจะช่วยลดระดับสัญญาณรบกวนลงได้ และส่งผลต่อสัญญาณที่ส่งผ่านไปนั้นมีความรวดเร็วและไม่มีข้อผิดพลาด
FireWire
ระยะแรก FireWire ถูกน ามาใช้ในเครื่องแอปเปิลแมคอินทอช แต่ปัจจุบันอุปกรณ์พวกคอมพิวเตอร์โน้ตบุค กล้องดิจิตอล ได้มีการน าพอร์ต FireWire มาใช้ โดย
ตามมาตรฐาน IEEE-1394a จะมีอัตราความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลที่ 400 Mbps
ส่วน IEEE-1394b จะมีอัตราความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลที่ 800 Mbps และยัง
สามารถขยายอัตราความเร็วได้สูงสุดที่ 3.2 Gbps ซึ่งสามารถน าไปใช้ในการตัดต่อวีดีโอ
งานสตูดิโอ ที่ส าคัญพอร์ต FireWire มีขนาดเล็ก ท าให้ไม่สิ้นเปลืองเนื้อที่ อีกทั้งยัง
สนับสนุนคุณสมบัติ Plug and Play รวมถึง Hot Plug ที่สามารถถอดอุปกรณ์เพื่อ
ยกเลิกการเชื่อมต่อได้ทันที ถึงแม้ว่าบัสยังคงทำงานอยู่
USB เป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์กับโมเด็ม และอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งปัจจุบันจะเป็นพอร์ต USB ทั้งสิ้น เช่น เมาส์คีย์บอร์ด โดย USB เป็นอินเตอร์เฟสที่สร้างความสะดวก และความยืดหยุ่นต่อผู้ใช้งาน และยังสนับสนุนการท างานแบบ plug and play อีกด้วยในส่วนของสาย USB ที่ใช้เชื่อมต่อ จะมีหัวเสียบโฮสต์ (Host End)และหัวเสียบอุปกรณ์ (Device End) ซึ่งหัวเสียบทั้งสองจะมีรูปแบบคอนเน็กเตอร์ที่แตกต่างกันType Mini Type B Type A
USB (Universal Serial Bus)
ข้อเสียของ USB คือ การรับส่งข้อมูลที่มีความเร็วต่ า โดย USB เวอร์ชั่น 1.1 จะมีความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลเพียง 12 Mbps แต่ปัจจุบันUSB เวอร์ชั่น 2.0 (High Speed USB) ได้พัฒนาความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลให้สูงขึ้น โดยความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 480 Mbps และยังสามารถใช้งานร่วมกับพอร์ต USB เวอร์ชั่น 1.1 ได้ด้วยเมื่อเปรียบเทียบกับ FireWire ตามมาตรฐาน 1394a ที่มีความเร็ว400 Mbps จะเห็นว่า FireWire สามารถท างานด้วยอัตราความเร็วเหนือกว่า เนื่องจากซอฟต์แวร์ต่างๆ ที่ใช้งานในปัจจุบันสามารถดึงศักยภาพของFireWire ออกมาใช้ได้เต็มประสิทธิภาพมากกว่า
USB (Universal Serial Bus)
ภายในสายเคเบิลของ USB จะประกอบด้วยสายสัญญาณจำนวน 4 เส้น โดยชื่อที่กำกับไว้ในสัญญาณแต่ละเส้นจะมีหน้าที่ดังต่อไปนี้- VBUS คือ สายสัญญาณที่ส่งก าลังไฟฟ้าขนาด 5 โวลด์ไปยังอุปกรณ์
- D+ คือ สายส่งข้อมูลสัญญาณบวก (Positive) ที่มีการเข้ารหัสแบบ NRZ-L
- D- คือ สายส่งข้อมูลสัญญาณลบ (Negative) ที่มีการเข้ารหัสแบบ NRZ-L
พร้อมกับกำหนดระยะวัดของสัญญาณลบเพื่อลดการแทรกแซงของสัญญาณรบกวนและ
ข้อผิดพลาด
อ้างอิง
- http://www.pranicec.ac.th/files/20130008/files/network_chapter5.pdf
- https://preeng55cwanwipa.wordpress.com/2013/01/18/expension-slots-ports/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น